ราคาResellรองเท้า




 ถ้าเราเปิดบทความด้วยคำว่า Reseller อาจฟังดูเป็นการให้ท้ายพ่อค้าคนกลางที่โหดร้าย จ้องคอยที่จะทำเงินมากมายจากราคาของที่ขายเพียงราคาหยิบมือ แต่จริงๆ แล้วเบื้องหลังการทำเงินที่แสนง่ายดายนี้ เป็นเพียงแค่การแลกมาด้วยการพลีชีพและเวลาในการจับจ้องสินค้าว่าอะไรกำลัง “จะเป็นที่ต้องการ” ตามหลักกลไกอุปสงค์ และ อุปทานของเศรษฐศาสตร์เบื้องต้นจริงๆ หรือไม่
ทำความเข้าใจอีกครั้งว่าสนีกเกอร์คือชื่อเล่นของรองเท้ากีฬาไม่ว่าจะประเภทวิ่ง สเก็ตบอร์ด บาสเก็ตบอล หรือที่ใช้กับลู่ลานใดๆ ฟังก์ชั่นที่ทำออกมาก็ล้วนมุ่งให้ผู้สวมใส่ให้ปลอดภัยจากการออกกำลัง แต่ด้วยการออกแบบ สีสัน และอรรถประโยชน์ที่เป็นมากกว่ารองเท้ากีฬานั้นทำให้สนีกเกอร์เริ่มเข้าสู่วงการแฟชั่น และถูกให้การตอบรับว่าเป็นอะไรที่เข้าถึงง่าย ที่เพียงสไตล์ไอค่อน หรืออินฟลูเอ็นเซอร์ทั้งหลายสวมใส่ ก็สามารถสร้างความนิยมเป็นวงกว้าง จนเกิดกระแสการซื้อง่ายขายคล่อง โดยเฉพาะสนีกเกอร์ที่เป็นที่ต้องการของตลาดเพียงเพราะ “มีคนพูดถึงมาก” ไม่ว่าจากในแม็กกาซีนในอดีต หรือโลกโซเชียลในปัจจุบัน

ไม่ว่าใครก็เข้าถึงสนีกเกอร์ได้ ไม่ใช่เพียงสนีกเกอร์เฮดที่แต่งตัวไฮป์จากหัวจรดเท้า เพราะปัจจุบันผู้ชายวัยทำงาน หญิงสาวที่เป็นแม่บ้าน หรือเด็กๆประถมก็สามารถจับจองเป็นเจ้าของได้ เพราะการซื้อขายที่หลากหลายกว่าในอดีตที่ผ่านมา ที่แพลตฟอร์มการซื้อขายมีเพียงหน้าร้านหรือช็อปของผู้ผลิตเท่านั้น และเมื่อความต้องการมีมากกว่าสินค้า ราคาจึงพุ่งสูงแซงหน้าป้าย Price Tag ที่ติดมาอย่างไม่ต้องสงสัย สิ่งที่ตามมาคือธุรกิจการขายต่อหรือ Resale ที่เราคุ้นหูกันและไม่ว่าใครๆ ก็ทำได้หากมีความพยายามมากพอ แต่จากการศึกษาที่มาของคำว่า Reseller นั้นดูเป็นคำที่ผู้ประกอบการมืออาชีพหลายๆ คนดูจะยอมรับไม่ได้เพราะเขาทั้งหลายไม่ได้มองตัวเองว่าเป็นผู้ที่เพียงชุบมือเปิบเอาสินค้าราคาถูกมาขายต่อในราคาที่แพงหูฉี่ แต่พวกเขาภูมิใจที่ได้ศึกษาที่มาและมอบเวลาราวหลายสิบชั่วโมงในการอดทนรอการต่อแถวซื้อรองเท้าที่ผลิตมาจำนวนน้อย (Limited) จนมาอยู่ในมือและขายต่อในราคาที่พอใจ



ย้อนกลับไปเมื่อ 10-15 ปีที่ผ่านมา การต่อแถวรอซื้อรองเท้าสนีกเกอร์ที่เป็นที่นิยมอย่าง Nike Dunk หรือ Nike SB (Skateboarding) หรือรองเท้าวิ่งหลังยุค 2000s อย่าง Nike Air Max 1 และ 90 ก็เป็นเหมือนภาพที่ถูกฉายเป็นหนังม้วนหนึ่งที่คึกคักไม่แพ้ในยุคนี้ ต่างกันตรงที่ราคาตั้งต้น (Retail) นั้นไม่ได้สูงมากมายเพราะอยู่เพียงหลัก 3,000-4,000 ต้นๆ เท่านั้นทำให้ราคา Resell ในยุคก่อนนั้นไม่ได้ลอยตัวขึ้นมากเท่าทุกวันนี้ และการนำไปขายต่อไม่ได้มีทางเลือกมากมายเพราะมีเพียงร้านรับซื้อและเว็ปบอร์ดไม่กี่แห่ง ผิดกับในปี 2018 นี้ ที่การ Resell รองเท้าสนีกเกอร์ดูจะเป็นเรื่องที่ง่ายดาย เพราะใครๆ ก็สามสามารถเป็น Reseller ได้ ด้วยความสะดวกสบายของแพลตฟอร์มแหล่งซื้อขายที่กำหนดได้เพียงปลายนิ้วในโลกโซเชียลอย่าง StockX, Ebay, GOAT, Fightclub หรือไม่ว่าจะเป็นกลุ่มซื้อขายสินค้าในเฟซบุ๊ค แม้กระทั่งอินสตาแกรม ทำให้ธุรกิจนี้คึกคักอย่างไม่มีวันตกยุค
เคยมีบทความสัมภาษณ์ผู้บริหารของเว็ปไซต์ขายรองเท้าชื่อดัง Fightclub เกี่ยวกับกรณีการคาดการณ์ความนิยมของการ Resale รองเท้านี้ เขาได้ตอบอย่างทันท่วงทีว่าตลาดการซื้อขายรองเท้าต่อไม่มีทีท่าว่าจะหยุดชะงักแม้แต่อย่างใด เพราะ รุ่นรองเท้าที่ออกมามากมาย เหล่าดาราหรือเซเล็ปบริตี้ที่เป็นสื่อหลากหลาย และช่องทางการขายที่ง่ายขึ้น ทำให้ตลาดมีความคึกคักอย่างฉุดไม่อยู่ ซึ่งก็ถือเป็นการคาดเดาที่ทำให้ใครๆ อาจจะตัดสินใจลงมาเป็นผู้เล่นในธุรกิจนี้ได้เพิ่มขึ้น


การพิสูจน์ทฤษฎีความเพียรพยายามมีความรอบรู้และความอดทน ล้วนเป็นกุญแจสำคัญในการทำธุรกิจการซื้อขายรองเท้ากีฬาให้หลายๆ คนสามารถมีเงินทองที่ฟู่ฟ่ามาได้หลายยุคหลายสมัยจนถึงปัจจุบัน แต่ความจริงที่แสนโหดร้ายนั้นคือบริษัทผู้ผลิตรองเท้ากีฬาที่คอยจับตาดูความเป็นไป และปล่อยให้การทำราคาลอยตัวสูงขึ้นอย่างหาที่ไปที่มาไม่ได้เพราะแค่ “ความพึงพอใจในการกำหนดราคากลาง” ซึ่งถือเป็นมาตรฐานที่ยอมรับได้ในสังคม (Normcore) แต่คือตัวการที่ทำให้ราคารองเท้าพุ่งสูงขึ้นในธุรกิจการ Resale รองเท้าไม่ว่าจะยุคใดเพราะผู้ผลิตรองเท้าทำออกมาโดยใช้กลยุทธ์แบบ Limited Edition ที่ไม่ผลิตซ้ำตามความต้องการของตลาด กลยุทธ์ที่ว่านี้เป็นตัวปั่นราคาสินค้าไม่ว่าจะประเภทใด ซึ่งถามว่าผู้ผลิตเองจะสามารถคุมราคาให้การซื้อขายรองเท้าไม่สูงเท่าปัจจุบันได้หรือไม่ก็ต้องบอกว่าทำได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่เป็นความต้องการของหลาายๆ เจ้าที่จะออกรองเท้าที่คล้ายคลึงกันมาขาย เพื่อเพิ่มรายได้เข้าบริษัทเท่านั้น

แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่ใช่ความผิดของใคร ตราบใดที่ผู้บริโภคสนีกเกอร์ยังมีความต้องการรองเท้าแบบที่อยากได้แม้ว่าจะต้องจ่ายเพิ่มมากแค่ไหน เพื่อความสะดวกสบาย และจะยังเป็นไปตามกลไกของการซื้อขายในอนาคต โดยที่ไม่มีคำว่าศีลธรรมมาเป็นตัวกำหนดว่าควรจะมีราคาเท่าใด เพราะอะไรๆ ก็คือโลกแห่งธุรกิจการค้าทุนนิยม และในท้ายบทความนี้คงจะไม่สมบูรณ์สักเท่าไหร่ หากเราไม่ได้นำรองเท้าที่มองว่าสามารถ “เก็งกำไร” ได้ในอนาคต ทั้ง 5 คู่ต่อไปนี้ ที่ได้ศึกษาและพูดคุยมาเป็นอย่างดีกับสนีกเกอร์เฮดผู้คร่ำหวอดในวงการ



เริ่มต้นด้วยความมหัศจรรย์ของแบรนด์สตรีทแวร์ชื่อดังอย่าง “Off-White” ที่โผล่มาจับมือกับแบรนด์รองเท้าผ้าใบในตำนานที่มีประวัติเกือบ 7 ทศวรรษ อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เพราะตามปกติแล้ว Off-White ได้ประสบความสำเร็จกับการผลิตรองเท้าร่วมกับ Nike อย่างคอลเล็คชั่น The 10 ที่ผ่านมา แต่เมื่อการออกแบบโดยใส่ความถนัดเรื่องการทดแทนวัสดุที่ล้ำหน้ากว่ารองเท้าปกติโดย Virgil Abloh ก็ทำให้ Converse Chuck Tailor หุ้มข้อที่แสนธรรมดากลายมาเป็นรองเท้าสตรีทแวร์แบบไฮป์กว่าได้อย่างแปลกตาทีเดียว และแน่นอนว่าราคาที่ซื้อขายกันในตลาดสนีกเกอร์ปัจจุบันนี้ค่อยๆ ไต่ระดับสูงขึ้นจนอยู่ที่ราวๆ 30,000 บาท และยังมีแนวโน้มว่าจะขบัยขึ้นไปเรื่อยๆ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า สำหรับใครที่กำลังมองหาสนีกเกอร์เพื่อลงทุน Converse Chuck Tailor x Off-White เป็นตัวเลือกที่คุณจะต้องไม่ผิดหวัง

อีกฝากของผู้กุมชะตาส่วนแบ่งการตลาดสนีกเกอร์บนโลกนี้อย่าง Adidas ก็ไม่เคยน้อยหน้าที่จะปล่อยรองเท้าที่สามารถสร้างมูลค่าออกมาได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรองเท้ารุ่นยอดฮิตที่โด่งดังและเป็นเหมือนหนึ่งในปลุกกระแสให้สนีกเกอร์กลับมาคึกคักในตลาดโลกอย่าง NMD และไม่เพียงเท่านั้น การออกแบบจากศิลปินเพลงป็อบระดับโลกอย่าง Pharrell Williams ใคคอลเล็คชั่น HU ของเขาไม่ได้มาเพียงเท่านี้ แต่ยังไปจับมือกับแบรนด์เสื้อผ้าระดับไฮเอนด์ Chanel ออกมาในรูปของ Collaboration จาก 3 ฝ่าย ทำให้ราคารองเเท้ากลายเป็นเหมือนอัญมณีล้ำค่าเพราะมีราคาการ Resale กว่า 250,000 บาท และก็ยังดูเหมือนว่าจะเป็นที่ต้องการของสนีกเกอร์เฮดกระเป๋าหนักอีกด้วย



แม้ว่าจะผ่านมากว่า 4 ปีแล้วแต่ความแรงของราคาที่ยังเดินหน้าไม่หยุดของรองเท้าดีไซน์ล้ำอย่าง Nike Air Yeezy ที่ออกแบบโดยแรปเปอร์ชื่อดัง Kanye West และสร้างปรากฎการณ์การทำราคา Resale รองเท้าสูงกว่าราคาจริงเป็นสิบเท่ามาแล้วในอดีต และใน Generation ที่ 2 นี้ อย่าง Air Yeezy 2 Red October ก็ยังทำราคาขายต่อได้ดีแบบเติบโตกว่า 1,800% จากเพียง 8,000 บาท สู่ราคาเกือบ 200,000 บาท อย่างฉุดไม่อยู่ และเรามองว่าเป็นรองเท้าอีกหนึ่งคู่ที่น่าลงทุนเพื่อเก็งกำไรในอนาคตเพราะราคาคงจะไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้อย่างแน่นอน


ในบรรดาสนีกเกอร์ทั้ง 5 คู่ที่เรานำมาเล่าสู่กันฟังว่า ความคุ้มค่าในการลงทุนเพื่อทำกำไรในอนาคตจะมีแนวโน้มไปทางไหน Nike React Element 87 ดูจะเป็นน้องใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวและวางขายในเดือนกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาอย่างหมาดๆ รองเท้าหน้าตาประหลาดแต่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีรุ่นใหม่ทั้งพื้นรองเท้าแบบ React รับแรงกระแทกอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวรองเท้าที่ทำจากวัสดุโพลิเมอร์แบบใสมองเห็นทะลุเข้าไปข้างใน และน้ำหนักรองเท้าที่เบาราวกับปุยนุ่น ประกอบกับสีสันที่ลงตัว ทำให้ Nike React Element 87 กลายเป็นที่จับจ้องของสนีกเกอร์เฮดอย่างไม่ต้องใช้คนดังใดๆ มาทำให้เกิดกระแส ซึ่งราคาขายในเว็ปไซต์และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการอยู่ที่เพียง 5,500 บาทเท่านั้น แต่เมื่อสินค้าหมดเพียงไม่กี่วัน ราคาขายต่อก็เพิ่มขึ้นกว่า 100% จนมีราคากลางอยู่ที่ 13,000 บาทเป็นที่เรียบร้อย ทำให้รองเท้าคู่นี้เป็นทั้งรองเท้าที่น่าสะสม น่าใช้งาน และน่าเก็บไว้เป็นการลงทุนในอนาคตอีกด้วย


รองเท้าสุดท้ายในบทความชิ้นนี้ เป็นคู่ที่ผู้เขียนโปรดปรานมากที่สุดในบรรดาสนีกเกอร์ที่เคยออกมาใน 10 ปีให้หลังที่ผ่านมา ความพิเศษนั้นไม่ใช่เทคโนโลยีของรองเท้าที่ล้ำกว่าใคร เพราะ Air Max 1 จาก Nike เป็นเทคโนโลยี Air แบบแรกที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบในยุคนั้น แม้ Air Max 1 ไม่สามารถสู้การออกแบบรุ่นใหม่ได้ แต่ความใส่สบายก็ยังไม่เป็นสองรองใคร แต่ความลงตัวของการใช้วัสดุอย่างลวดลายหนังช้าง และคู่สีดำ เทา ฟ้าเทอร์ควอยซ์ จากดีไซน์เนอร์แห่งร้านรองเท้าชื่อดังของประเทศญี่ปุ่นอย่าง “Atmos” ทำให้ออกมาเป็นส่วนผสมที่กลมกล่อมตลอดกาล และ Nike Air Max 1 Atmos Elephant Pack คู่นี้ได้ทำการ Reissue ออกมาอีกครั้งในปี 2017 ที่ผ่านมา แต่แล้วราคาก็ยังพุ่งทะลุ 15,000 บาทไปอย่างสบายๆ แม้ราคาขายจะอยู่ที่เพียง 5,000 กว่าบาทเท่านั้น การลงทุนจึงนับว่าคุ้มค่าทั้งทางจิตใจ และหากำไรจากสนีกเกอร์ไม่แพ้กัน

อ้างอิง:https://www.unlockmen.com/resell-yeezy/


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น